โรคตับอักเสบ ไวรัส บี
เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของเซลล์ตับทำให้ตับทำงานน้อยลง จนมีอาการเจ็บป่วย สาเหตุของโรคเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะหาย แต่จะมีผู้ป่วยบางรายไม่หายขาด เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ และมีโอกาสเป็นโรคตับอักเสบชนิดบี สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้ และมีโอกาสเป็นโรคตับอักเสบ ชนิดเรื้อรังหรือเป็นโรคตับแข็งได้ และถ้าติดเชื้อและเป็นพาหะมาตั้งแต่วัยเด็กจะมีโอกาสเกิดเป็นโรคมะเร็งตับได้มากกว่าคนที่ไม่ติดเชื้อหลายเท่า
อาการของโรค
ผู้ที่ได้เชื้อไวรัสโรคตับอักเสบบี ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการเพียงเล็กน้อยที่แสดงอาการป่วยชัดเจน อาการของโรคตับอักเสบทุกชนิดจะคล้ายคลึงกันคือมีอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามตัว บางรายอาจมีไข้ต่ำๆ คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร แน่นท้อง ท้องอืด อาจเจ็บบริเวณชายโครงขวา เมื่อไข้ลดบางรายอาจมีอาการตัวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม บางครั้งอาจท้องเดิน คันตามผิวหนัง ตับและม้ามโตเล็กน้อย โดยทั่วๆไปอาการของโรคจะปรากฎอยู่ 2-3 สัปดาห์ หลังจากนั้นจะค่อยๆ ทุเลาลงจนเป็นปกติในเวลา 4-5 สัปดาห์
การติดต่อ
เชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบี อยู่ในเลือด น้ำเหลือง และของเหลวต่างๆ ในร่างกาย เช่น น้ำมูก น้ำลาย น้ำอสุจิของผู้ป่วย จึงมีการติดต่อได้หลายทาง
* หญิงมีครรภ์ที่เป็นพาหะจะถ่ายทอดเชื้อให้แก่ลูกในขณะคลอด
* โดยการได้รับเลือดหรือส่วนประกอบของเลือดที่มีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือจากเข็มฉีดยาและใช้ของมีคม
* การสัมผัสเลือดจากแผลถลอกทางผิวหนัง
* มีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อหรือเป็นพาหะ
* รับเชื้อทางน้ำลายจากการรับประทานอาหารโดยไม่ใช้ช้อนกลาง และใช้สิ่งของร่วมกัน
การรักษา
ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคตับอักเสบไวรัสบีการรักษาโดยทั่วไปเป็นการรักษาตามอาการ
* ถ้ามีอาการของโรคตับอักเสบเล็กน้อยให้พักผ่อนให้เพียงพอ ไปทำงานได้ตามปกติ แต่อย่าออกกำลังกายหรือทำงานหนัก จนกว่าอาการของโรคตับอักเสบหายเป็นปกติ และเมื่อไม่มีอาการแล้วควรออกกำลังกายแต่พอดีอย่างสม่ำเสมอ
* ในระยะที่มีอาการตา ตัวเหลือง ผู้ป่วยควรพักผ่อนให้เต็มที่รับประทานอาหารอ่อนย่อยง่าย งดอาหารมัน งดดื่มสุราและสูบบุหรี่ การรับประทานของหวานหรือดื่มน้ำหวานมากกว่าปกติไม่ได้ช่วยให้หายเร็วขึ้น การให้ยาบำรุงหรือวิตามินอาจช่วยได้บ้างแต่สู้การพักผ่อนมากๆ ไม่ได้
* ถ้ามีอาการมาก แพทย์จะรับไว้ในโรงพยาบาลและให้การรักษาตามอาการหรือประคับประคองให้พ้นระยะอันตรายและป้องกันโรคแทรกซ้อน
การป้องกัน
ฉีดวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบไวรัสบี แก่ทารกแรกเกิดทุกรายในเด็กโต และผู้ใหญ่โดยทั่วไปไม่มีความจำเป็นในการฉีดวัคซีน แต่ถ้าต้องการจะฉีดวัคซีนควรรับการตรวจเลือด เพื่อให้ทราบว่ามีภูมิต้านทานหรือไม่ผู้ที่เคยติดเชื้อมีภูมิต้านทานแล้วไม่ต้องฉีดวัคซีน ถ้าอยู่ในครอบครัวที่เป็นพาหะของโรคควรปรึกษาแพทย์ เพื่อรับการตรวจเลือดจะได้ทราบถึงแนวทางการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม
ผู้ที่เป็นพาหะของโรคตับอักเสบ บี ควรปฏิบัติตัวดังนี้
* งดบริจาคเลือด และเมื่อจะรับการผ่าตัดหรือทำฟันควรแจ้งให้แพทย์ทรายว่าเป็นพาหะของโรค
* หญิงมีครรภ์ที่เป็นพาหะควรฉีดวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบไวรัสบี ให้แก่ทารกแรกคลอด
* เมื่อมีเพศสัมพันธ์ ต้องสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
* ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ พักผ่อนอย่างเพียงพอวันละ 6-8 ชม.
* เมื่อรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่นควรใช้ช้อนกลางและแยกของใช้ส่วนตัวจากผู้อื่น